Triethylene glycol

Triethylene glycol สำคัญอย่างไรกับอุตสาหกรรมพลาสติก

Triethylene glycol สำคัญอย่างไรกับอุตสาหกรรมพลาสติก

คุณสมบัติของ Triethylene glycol สำหรับอุตสาหกรรมพลาสติก

Triethylene glycol

Triethylene glycol (ไตรเอทิลีนไกลคอล) หรือ TEG เป็นสารเคมีอีกชนิดหนึ่งที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ อุตสาหกรรมผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ, อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อในอากาศ, อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล, อุตสาหกรรมยานยนต์, อุตสาหกรรมการพิมพ์หรือการย้อมสีสิ่งทอ และอุตสาหกรรมสำคัญที่เราจะมาพูดถึงกันในบทความนี้ก็คือ อุตสาหกรรมพลาสติก

ไตรเอทิลีนไกลคอล (Triethylene glycol) หรือที่รู้จักในชื่อ TEG, ไตรกลีคอล และไตรเจน เป็นของเหลวไม่ระเหย ไม่มีสี หนืด ไม่มีกลิ่น มีสูตรทางเคมีคือ C6H14O4 หรือ HOCH2CH2CH2O2CH2OH เป็นที่รู้จักกันดีในด้านคุณภาพในการดูดความชื้นและความสามารถในการลดความชื้นของของเหลว TEG ไม่ติดไฟ เป็นพิษเล็กน้อยและถือว่าไม่เป็นอันตราย ซึ่งเป็นสมาชิกลำดับที่สามในกลุ่มไดไฮดรอกซีแอลกอฮอล์ สามารถนำมาใช้เป็นพลาสติไซเซอร์สำหรับไวนิลโพลีเมอร์

อุตสาหกรรมการผลิตพลาสติกใช้ Triethylene glycol อย่างไรบ้าง?


ขอบคุณภาพจาก rahaoil.com

การใช้งานไตรเอทิลีนไกลคอล (TEG) ทั่วโลกนั้น ไม่ว่าจะเป็นในฐานะของการตัวทำละลาย พลาสติไซเซอร์ โพลียูรีเทน สารฮิวเมกแทนท์ เรซินโพลีเอสเตอร์ และอื่น ๆ ในประเทศต่าง ๆ มีแนวโน้มที่สูงมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีการคาดการณ์ว่าปี 2027 จะมีการใช้งาน Triethylene glycol สูงที่สุด ทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกา, แคนาดา, เม็กซิโก, บราซิล, อาร์เจนตินา, เยอรมนี, ฝรั่งเศส, อิตาลี, สหราชอาณาจักร, เบลเยียม, สเปน, รัสเซีย, ตุรกี, เนเธอร์แลนด์, และสวิตเซอร์แลนด์ รวมถึงประเทศในแถบเอเชียแปซิฟิกอย่าง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย อียิปต์ แอฟริกาใต้ อิสราเอล ส่วนที่เหลือของตะวันออกกลางและแอฟริกา

ความสำคัญของ Triethylene glycol ต่ออุตสาหกรรมพลาสติก

  1. ไตรเอทิลีนไกลคอล หรือ TEG นั้นนำไปใช้เพื่อปรับปรุงคุณภาพของพลาสติก เช่น การยืดตัว ความต้านทานแรงดึงและความโปร่งใส หรือทำหน้าที่เป็นตัวกลางทางเคมีในการผลิตพลาสติก PVC, ไวนิล, เส้นใย Polyester, พลาสติไซเซอร์และโพลีเอสเตอร์เรซิน หรือที่เรียกว่า พลาสติไซเซอร์ (Plasticizer) โดย Triethylene Glycol จะนำไปใช้เป็นสารเติมแต่งที่เติมลงในโพลีไวนิลคลอไรด์เรซิน เพื่อให้มีคุณสมบัติต่างๆ เช่น ความสามารถในการขึ้นรูป, ความยืดหยุ่น, ฉนวนไฟฟ้าและความเหนียว เพื่อนำไปผลิตสิ่งของต่างๆ

    พลาสติไซเซอร์ (Plasticizer) คืออะไร? พลาสติไซเซอร์ คือสารที่ใส่ใน polymer หรือผลิตภัณฑ์พลาสติกเม็ดพลาสติกมีความยืดหยุ่นและอ่อนนุ่มขึ้น เพื่อสะดวกต่อการดึง รีด ฉาบ หรือหล่ออีกทั้งยังมีคุณสมบัติเป็นฉนวนไฟฟ้าทนต่อกรดด่าง โดยจะใส่ประมาณ 20-40% โดยน้ำหนัก ซึ่งส่วนผสมของพลาสติไซเซอร์มี Triethylene Glycol เป็นองค์ประกอบอยู่ด้วย โดยสามารถแบ่งประเภทของพลาสติไซเซอร์ได้ 2 ประเภทคือ

    • โมโนเมอริคพลาสติไซเซอร์ (monomeric plasticizers) ซึ่งองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาอนุญาตให้ใช้ในผลิตภัณฑ์ที่บรรจุอาหาร
    • โพลีเมอริคพลาสติไซเซอร์ (polymeric plasticizers) เป็นพลาสติไซเซอร์ที่มีน้ำหนักโมเลกุลสูงถึง 20 เท่าของชนิดโมโนเมอร์ริค จึงทนต่อการละลายของน้ำมันและตัวทำละลาย รวมถึงอุณหภูมิที่สูง และเมื่อเติม Triethylene Glycol ใส่ลงในกระบวนการผลิตพลาสติก ทำให้มีสมบัติเปลี่ยนไปคือ มีความอ่อนนุ่ม ยืดหยุ่นสูง ทนต่อความเป็นกรดด่าง ทนต่ออุณหภูมิสูง สามารถนำไปใช้งานได้หลากหลาย นั่นเอง
  2. สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

  3. โพลีไวนิลคลอไรด์ หรือโพลีไวนิลคลอไรด์เรซิน หรือ PVC เป็นพลาสติกชนิดหนึ่งซึ่งสังเคราะห์ขึ้นมาจาก VCM หรือ Vinyl Chloride Monomer เป็นพลาสติกที่จัดอยู่ในประเภทเทอร์โมพลาสติก (Thermoplastic) เป็นโฮโมโพลีเมอร์ของไวนิลคลอไรด์หรือไฮบริดโพลีเมอร์ที่มีไวนิลคลอไรด์ตั้งแต่ 50% ขึ้นไป คือมีโครงสร้างเป็นเส้นตรง สามารถหลอมเหลวขึ้นรูปได้ด้วยความร้อนและยังสามารถนำกลับมาหลอมใช้ใหม่ (Recycle) นอกจากนั้น PVC ยังเป็นเรซินเอนกประสงค์ที่สามารถนำมาใช้โดยวิธีการแปรรูป เช่น การอัดขึ้นรูป การฉีดขึ้นรูปหรือการรีด

    การใช้พลาสติไซเซอร์ในอุตสาหกรรมพลาสติก PVC มีมากถึง 65% ของปริมาณการใช้พลาสติไซเซอร์ทั้งหมด ผู้ที่เริ่มใช้พลาสติไซเซอร์ในทางอุตสาหกรรมคนแรก คือ Hyatt Brothers ในราว ค.ศ.1870 จากนั้นเป็นต้นมา PVC จึงเป็นหนึ่งในพลาสติกที่ถูกใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรม ด้วยคุณสมบัติที่สามารถขึ้นรูปได้ทั้งแบบแข็งและยืดหยุ่น แบบโปร่งใสและสี มีความทนทานและน้ำหนักเบา ตั้งแต่บรรจุภัณฑ์ สายไฟ ผลิตภัณฑ์ระบบเครื่องกลไฟฟ้า ของเล่น ฟิล์ม แผ่น หนังเทียม ผ้าใบกันน้ำ เทป วัสดุบรรจุภัณฑ์อาหารและเวชภัณฑ์ ไปจนถึงงานก่อสร้าง การเติมสาร Triethylene Glycol ลงไปในเพื่อให้มีคุณสมบัติทางกายภาพและการทำงานต่างๆ เช่น ความสามารถในการขึ้นรูป ความยืดหยุ่น ฉนวนไฟฟ้าและความยึดเกาะ เป็นต้น

  4. ฟิล์มห่อหุ้มใสที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในบ้านเรือน เนื่องจากฟิล์มใสจะต้องใช้เป็นหนึ่งองค์ประกอบในวัสดุบรรจุภัณฑ์อาหาร โดยความโปร่งใสที่ช่วยให้เราเห็นอาหารที่อยู่ภายในได้ และความยืดตัวจะสามารถช่วยให้เราห่อบรรจุอาหารได้ดี และจำเป็นต้องมีการยึดเกาะเพื่อไม่ให้ฟิล์มหลุดออกบรรจุภัณฑ์ได้ง่าย Triethylene Glycol คือสารเคมีที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มคุณสมบัติทางกายภาพที่โดดเด่นนี้ คือความยืดตัว การยึดเกาะ ความโปร่งใสและทนต่อความร้อน นั่นเอง
  5. Polyester และโพลีเอสเตอร์เรซิน เป็นเรซินสังเคราะห์ที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาของกรดอินทรีย์ dibasic และแอลกอฮอล์โพลีไฮดริก โดยเรซินโพลีเอสเตอร์ไม่อิ่มตัวถูกนำมาใช้ในสารประกอบการขึ้นรูปเป็นแผ่น และอาจเสริมแรงด้วยไฟเบอร์กลาส หรือที่เรียกว่าพลาสติกเสริมไฟเบอร์กลาส (FRP) นำไปใช้ทำแผ่นผนังในร้านอาหาร ห้องครัว ห้องน้ำ และพื้นที่อื่นๆ ที่ต้องการมีผนังที่ดูแลรักษาและทำความสะอาดได้ง่าย Triethylene Glycol จะถูกใช้เป็นตัวกลางทางเคมีในการผลิตเส้นใย Polyester, และโพลีเอสเตอร์เรซิน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและง่ายต่อการขึ้นรูป

    มีบริษัทด้านเคมีภัณ์ได้นาเรซินโพลีเอสเตอร์ชนิดพิเศษสำหรับการยึดติดผลิตภัณฑ์ยางพิเศษบนโลหะที่เรียกว่า Triethylene Glycol Dimethacrylate ที่ต่างจากเรซินโพลีเอสเตอร์ทั่วไป เพราะมีประสิทธิภาพในการยึดเกาะสูงสุดนิยมนำมาใช้ยึดเกาะร่วมกับสีโป๊วอีพ๊อกซี่ เมื่อใช้ยึดติดกับโครงสร้างใต้น้ำ นอกจากนั้นยังมีความปลอดภัยไม่มีสารพิษและมีอายุการเก็บรักษาที่ยาวนานกว่า

ทั้งหมดนี้คือความสำคัญของไตรเอทิลีนไกลคอล หรือ TEG สำหรับอุตสาหกรรมพลาสติก และหากคุณกำลังมองหา Triethylene glycol คุณภาพดีสำหรับอุตสาหกรรมพลาสติกของคุณ บริษัท พี.ไว จำกัด คือบริษัทผู้นำเข้าเคมีภัณฑ์มากมาย ที่ตอบโจทย์ทุกอุตสาหกรรมที่มีความหลากหลาย อาทิ อุตสาหกรรมสี, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, เหล็ก, ยาง, น้ำมันอุตสาหกรรม, สิ่งทอ, การพิมพ์, อาหาร, เครื่องดื่มและเครื่องสำอาง โดยเคมีภัณฑ์ต่างๆ ที่เรานำเข้านั้น มีมาตรฐานจากผู้ผลิตที่มีชื่อเสียงจากทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ

คลิกดูรายละเอียดสินค้า

สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท พี.ไว จำกัด
https://pwai.co.th/
ออฟฟิศ: 02-938-0515-6 / 02-513-8398 / 02-513-2639 / 02-512-2111
อีเมล: sales@pwai.co.th
Line@: @pwaishop

 

Leave a Reply

Your email address will not be published.